วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


Archive for the ‘พื้นฐานแบดมินตัน’ Category


การรับลูกส่งในการเล่นคู่ผสม

       การรับลูกส่ง หลักการในการเล่นประเภทคู่ผสมนั้นเหมือนกับการเล่นประเภทคู่โดยทั่ว ๆ ไป  คือ อาจจะยืนรับติดเส้นส่งลูกหรือยืนกลางสนาม แล้วแต่ความถนัดเมื่อยืนจุดตรงเส้นหน้าถ้าคู่แข่งขันส่งลูกหลัง นักกีฬาสามารถถอยหลังให้ทันก็พอแล้ว ที่สำคัญมากตอนรับลูกส่ง ผู้ไม่ได้รับลูกส่งห้ามยืนค่อมเส้นกลางสนามโดยเด็ดขาด จะทำให้การส่งลูกเกิดกีดขวางแก่คนรับและจะทำให้เสียจังหวะในการเคลื่อนตัว ทำให้เกิดพะวักพะวงในการตีลูกต่อไปได้







การส่งลูกในการเล่นคู่ผสม

      การส่งลูก  มีหลักในการส่งลูกส่วนใหญ่คล้ายกับเกมคู่โดยทั่ว ๆ ไป แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่า ผู้รับคนหนึ่งเป็นชายและผู้รับอีกคนหนึ่งเป็นหญิง ดังนั้นเทคนิคในการส่งลูกจึงต้องแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม เพื่อชิงเป็นฝ่ายรุกไว้อยู่เสมอ  การส่งลูกที่ดีที่สุดของคู่ผสม คือ มุมหน้าใกล้ตาข่ายชิดเส้นกลางสนามด้วยเหตุที่มีระยะที่สั้นที่สุด การควบคุมการส่งลูกจึงสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นอกจากนี้หากคู่แข่งขันตอบโต้ลูกกลับคืนมาก็อยู่ในรัศมีของผู้ส่งลูกที่จะ ป้องกัน และดักโจมตีได้โดยง่าย  อนึ่งความแตกต่างในการส่งลูกให้แก่ผู้เล่นหญิงและผู้เล่นชายนั้น ผู้ส่งมักคาดหวังที่จะทำคะแนนในการส่งให้ผู้เล่นหญิงทุกครั้งเสมอ
เช่น การส่งลูกไปด้านหลังบริเวณเส้นส่งลูกยาว เพราะถือว่านักแบดมินตันหญิงไม่สามารถตบลูกได้รุนแรงเท่านักแบดมินตันชาย และบางคนมีจุดอ่อนในการตีลูกหลังมือด้วย  ตำแหน่งการยืนส่งลูก ในระบบของการเล่นคู่ผสมนั้น ผู้เล่นหญิงมักจะเป็นมือแรกในการส่งลูกและรับลูกเสมอ โดยมีคู่ขาชายควบคุมพื้นที่ส่วนหลังในระบบหน้า-หลัง ซึ่งตามกติกา การส่งลูกจะเริ่มต้นที่สนามด้านขวามือ  ดังนั้นตำแหน่งของผู้เล่นควรยืนใกล้เส้นกลางสนามแต่ห่างจากเส้นส่งลูกสั้น ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการส่งลูก






การตั้งรับลูกส่ง

     การตั้งรับลูกส่ง  ผู้รับควรยืนรับระบบหน้า-หลัง เช่นเดียวกับผู้ส่งลูก  แต่มีข้อแตกต่างกันบ้างตรงที่ผู้รับลูกจะไม่ยืนชิดเส้นส่งลูกมากเท่ากับฝ่าย ส่งลูก  แต่จะยืนห่างจากเส้นส่งลูก  เพื่อการก้าวเท้าเข้าประชิดตีลูกหน้าตาข่ายหรือถอยตบลูกด้านหลังได้ทัน  ส่วนคู่ขาผู้รับลูกจะยืนตั้งท่าพร้อมที่กึ่งกลางสนามในส่วนของตนเอง  หรือจะยืนในระบบหน้า-หลังก็ได้  เพื่อคอยควบคุมด้านท้ายของสนาม แต่มีข้อสำคัญที่ควรจำไว้ปฏิบัติก็คือ  ไม่ควรไปยืนคร่อมเส้นกลาง เพราะจะไปกีดขวางผู้รับลูกที่จะตีลูกที่ส่งมาบริเวณเส้นส่งลูกยาวตรงมุมหลัง มือของคู่ขา  นอกจากนี้หากไม่ทันระวังในบางครั้งแม้ผู้ส่งลูกจะส่งลูกมาผิดสนามก็ตาม แต่อาจจะไปถูกแร็กเกตหรือคู่ขาของผู้รับก็จะเสียคะแนนไปอย่างไม่น่าจะต้อง เสีย  ในขณะเดียวกันหากผู้รับเห็นว่าผู้ส่งลูกไปยืนส่งลูกในบริเวณมุมขวาสุดสนาม เพื่อส่งลูกเข้ามุมหลังมือ ให้ผู้รับถอยไปตั้งรับจากจุดเดิม ก็จะแก้ไขการส่งลูกดังกล่าวได้ และสามารถตบลูกได้หนักขึ้นโดยไม่เสียหลัก





ตัวอย่างวีดีโอการเสิร์ฟลูกแบดที่ถูกต้อง




  การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนการสอนนะเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถสอนซ้ำๆกันได้โดยที่ในการสอนแต่ละครั้งข้อมูลก็คงเดิมตลอด แต่ไม่ควรจะนำสื่อเทคโนโลยีมาเป็นหลักในการสอน ตัวครูจะต้องเป็นศูนย์กลางในการสอนเช่นเดิม แต่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเป็นองค์ประกอบในการสอนเท่านั้น 






















วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิเคราะห์ข่าว...

    

 สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านวันนี้ผมจะมานำเสนอและวิเคราะห์ข่าว ให้ผู้อ่านได้เห็นในมุมของผม ในข่าวที่ได้นำเสนอต่อไปนี้ วันนี้ผมได้เลือกนำข่าวที่ผมสนใจเพราะ ผมคิดว่าเป็นข่าวที่ ทันสมัย ในหลายๆ และเป็นข่าวที่สะท้อนถึงการศึกษา เศรษฐกิจ ในประเทศไทย ได้อย่างดี


ภัยเยาวชนสมัยใหม่..ติดเกมส์..จนไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก
  
 นางขวัญเรือน ได้พาตัว ด.ช.โจ๊ก (นามสมมติ) อายุ 13 ปี มาที่สถานีตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำจับลูกชายไป เพราะก่อเหตุลักทรัพย์ชาวบ้านมากว่า 50 ครั้งแล้ว ปัจจุบันเธอแยกทางกับสามีไปแล้ว มีลูกชายด้วยกัน 2 คน ลูกชายอีกคนอยู่กับสามี ส่วน ด.ช.โจ๊ก เป็นลูกคนโต อยู่กับตนเอง เรียนจบแค่ชั้น ป.5 เพราะถูกไล่ออกจากโรงเรียน ทำให้อาศัยอยู่บ้านไปวันๆ ตนเองก็ทำมาหากินมีรายได้จากงานรับจ้างราววัน มีรายได้วันละไม่กี่ร้อยบาท และไม่มีเวลาเลี้ยงดู ด.ช.โจ๊ก ที่ผ่านมา มักมีชาวบ้านมาบอกแจ้งตนบ่อยๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกชาย เพราะมักชอบเข้าบ้านคนอื่นไปขโมยของ แม้กระทั่งในวัดยังเข้าไปขโมย ด.ช.โจ๊ก เคยถูกตำรวจจับอยู่บ่อยครั้ง จนขึ้นโรงพักเป็นประจำ แต่ตำรวจไม่อยากดำเนินคดีเพราะเห็นว่ายังเด็ก จนกระทั่งล่าสุดก่อเหตุอีกครั้ง ตนจึงถึงขีดสุด ยืนกรานให้ตำรวจดำเนินคดีกับลูกชายไปเลย


ขอบคุณภาพตัวอย่างจาก http://variety.n108.com
   ด้าน ด.ช.โจ๊ก ให้การรับสารภาพว่า เคยเหตุลักทรัพย์ในพื้นที่ดังกล่าวมากว่า 50 ครั้งแล้ว จะเลือกขโมยแต่ของเล็กๆ น้อยๆ เช่น พระเครื่อง กระติกน้ำ น้ำปลา มีดทำครัว เป็นต้น เมื่อลักเอามาได้แล้วจะนำไปขายเพื่อนำเงินไปเล่นเกม
    

              จากที่ผมได้อ่านข่าวนั้น  หนังสือพิมพิ์ฉบับนี้ได้โพสต์ลงไว้  ได้น่าสนใจมาก ทำให้คนอยากอ่านต่อ เมื่อผมได้ลองอ่านเนื้อข่าวนี้แล้ว ผู้ต้องหาทั้งสามคนยังเป็นเยาวชนและยังอายุน้อยอยู่ ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจและเป็นห่วงกับเยาวชนไทยในปัจจุบันมาก เพราะในปัจจุบันการแข่งขันมีสูง ค่าใช้จ่ายในแต่ละครอบครัวสูง โดยในปัจจุบันโลกของเรามีเทคโนโลยีใหม่ๆมากมาย จะทำให้เยาวชน เกิดความอยากมีอยากได้ แต่เพราะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ดี  จึงทำให้เกิดอัชญากรรมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในวัยรุ่น อย่างที่เป็นข่าวเด็กอายุแค่ 15 ปี หันตัวเองจากนักเรียนเป็นโจร เป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมากในอนาคตของเยาวชนไทยเรา และภัยสมัยของเยาวชนไทยนั้น ก็มีรายด้านโดยเฉพาะภัยใกล้ตัวของเด็กคือ การปล่อยให้เด็กเล่นเกมส์โดยที่ไม่ให้คำปรึกษากับ หรือบอกเด็กถึงปรโยชน์และโทษ ซึ่งผมได้วิเคราะห์และผมแบ่งปัญหาเป็น 2 ส่วน คือ 

  1.ระบบการศึกษาในประเทศไทยยังไม่ดีเท่าที่ควร จากข้อมูล ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาที่จัดโดย สถาบันเพื่อการพัฒนาการจัดการ หรือ IMD (Institute for Management Development) พบว่าตั้งแต่ปี 2548-2554 ประเทศไทยอยู่ในลำดับ 40 กว่า รั้งท้ายมาโดยตลอด หรือติด 1 ใน 14 ประเทศสุดท้ายทุกปี จากทั้งหมดประมาณ 55 -61 ประเทศ แต่ลงทุนด้านการศึกษาไทยไปสูงมากเป็นต้นๆของโลก แต่ผลกลับตรงกันข้าม  

  2. ด้านคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ เพราะเยาวชนไทยในปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เกรงกลัวในบาป

         ในฐานะในอนาคตผมจะเป็นครูที่ต้องไปสอนนักเรียนหรือเยาวชนรุ่นหลัง ผมจะเน้นการสอน ด้านคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์  การทำให้นักเรียนรู้จักเกรงกลัวสิ่งที่ทำผิดและให้ภูมิใจในสิ่งที่ทำดี การที่คนเรามีความรู้มากก็ไม่ใช่จะเป็นคนดีเสมอไปแต่ถ้าไม่มีความรู้เลยก็จะเป็นเครื่องมือหรือตกเป็นเหยื่อคนฉลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น การสอนหนังสือในปัจจุบันผมคิดว่าจะต้องสอนให้เด็กคิดเป็นว่าอะไรถูกอะไรผิด โดยที่เราเป็นที่ปรึกษาแนะนำสิ่งที่ถูกต้องและสอนนักเรียนให้มีความรู้มากกว่าครู       สุดท้ายผมขอฝากกลอนให้ผู้อ่านวิเคราะห์กัน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ ข้าวของ เงินทอง มันไม่ใช่ของเราทั้งนั้น เวลาเราเกิดมาอย่างไรตอนกลับไปก็ไปเช่นนั้น อยู่อย่างพอเพียงก็พอ...

 

ทุกสิ่งล้วนอนิจัง...


ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ



เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า

เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน

เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร

เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

(จุฬาลงกรณ์ ปร.)   

     

 

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The truth of me

...เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง   เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน
ถ้าใจต่ำเป็นได้เพียงแต่คน           ย่อมเสียทีที่ตนได้เกิดมา....

    เมื่อได้ฟังกลอนนี้แล้วก็กลับมาคิดถึงตัวเองได้ดีเลย อย่างที่กลอนได้กล่าวมานั้น มนุษย์กะคนมีข้อแตกต่างกันนิดเดียวคือ แตกต่างที่การกระทำ นั้นเอง..

   ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ผมชื่อ นายปรเมษฐ์ สิงห์สง่า ชื่อเล่นที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้นั้น ชื่อ แบงค์(ที่แปลว่าธนาคาร)   แต่เพื่อนๆส่วนใหญ่จะไม่รู้จักชื่อเล่นนี้ผมหรอกนะครับ เขาจะรู้จักชื่อเล่นอีกชื่อก็คือ เมษฐ์ ที่มาจาก ปรเมษฐ์ นั้นเอง ทำไม?? เพื่อนถึงเรียกเมษฐ์ เพราะมันมีที่มาจากตอนป.3 ในห้องที่ผมเรียนอยู่นั้นมีชื่อเล่นว่าแบงค์ จำนวน 3 คน และเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันอีกจึงทำให้เพื่อนๆคนอื่นในห้องลำบากในการเรียกเล่นดปลี่ยนชื่อเล่นผมเฉยเลยพอดีกับช่วงนั้นฮิตชอบเรียกชื่อจริงพยางค์สุดท้าย เพื่อนเลยเรียกว่าเมษฐ์  ตั้งแต่บัดนาว(นั้น)เป็นต้นม



หรือจะเรียก แบงค์ก็ได้นะครับ..แต่ชื่อเล่นนี้ส่วนใหญ่ผมจะให้ญาติหรือคนที่สนิทๆกันเรียกเท่านั้นนะเพราะ เป็นชื่อที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้ไม่อยากให้นำไปเรียกกันเล่นๆ ^^


        ตัวผมเองเกิดที่จังหวัดอุตรดิตถ์ (ตอนนี้ภูมิใจกับจัหวัดตัวเองเป็นอย่างมากเพราะพึ่งได้ที่2ของประเทศในการสำรวจจังหวัดที่น่าอยู่ที่สุด อิอิ ) ผมเกิดโตที่จังหวัดอุตรดิตถ์เลยครับ โดยได้เข้าศึกษา ในชั้นอนุบาล1 - ประถามศึกษาปีที่ 6 ณ โรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์
ตราประจำโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์
    เมื่อผมจบชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 แล้วนั้น ผมก็ได้สอบเข้าศึกษาต่อ ณ ที่โรงเรียนอุตรดิตถ์ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 (สอบได้เรียนห้อง2 ห้องเด้กเก่งครับ อิอิ) ตั้งแต่ผมป.3 ผมก็ได้เล่นกีฬาฟุตบอลควบคู่ไปด้วย  จนถึงม.2 ผมก็มีความคิดแน่วแน่นว่า จะเป็นครูพลศึกษา เพราะผมชอบในการออกกำลังกายการที่ได้อยู้ได้พูดคุยพบปะกับคนเยอะ มันสนุกมากครับ ช่วงม.1-3 เป็นช่วงที่ผมคิดว่าเล่นฟุตบอลได้ดีที่สุดครับ ช่วงนี้กำลังตั้งใจซ้อมฟุตบอลอย่างจริงจัง เรื่องฟงเรื่องแฟนไม่เคยสนใจ จนเคยได้ไปแข่งขันรายการระดับประเทศหลายรายการเลย และช่วงที่ผมจบม.3 ผมได้มีโอกาส ที่จะได้มาเรียนโรงเรียนชื่อดังที่มีนักฟุตบอลเก่งๆหลายคนอยู่ แต่ผมก็เลือกทางเดินชีวิตไว้แล้วคือการเป็นครูพลศึกษาที่ดี ผมจึงตอบปฎิเสธไป และผมก็ได้เข้าศึกษาในชั้นมัธยมปีที่4 ที่โรงเรียนอุตรดิตถ์ที่เดิม และผมก็เน้นเรื่องการเรียนและทำกิจกรรมเพื่อส่วนร่วมมากขึ้น แต่การเล่นกีฬาก็มีแต่ไม่มาก(บ้า)เท่าตอนมัธยมตอนต้น โดนตอนม.5 ผมได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน และตอนม.5 เทอม2 ผมก็ต้องหยุดเล่นฟุตบอลไปเพราะเกิดอุบัติเหตุรถชนทำให้ข้อมือเสียไปช่วงนั้น ผมเลยใช้โอกาสนี้ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนม.6 ผมมีความคิดที่จะสอบตรงแค่3ที่เท่านั้นคือ1. ศึกษาศาสตร์เอกพลศึกษา ม.ช. (สอบผ่านข้อเขียนแต่ตกสัมภาษณ์) 2. สอบตรงจุฬา ครุศาสตร์ เอกพลศึกษา-สุขศึกษา(สอบได้ 75เต็ม100 คะแนนถึง แต่ไม่ได้ยื่น)
ตราประจำโรงเรียนอุตรดิตถ์
สุดท้ายสอบที่ มศว คณะพลศึกษา เอกพลศึกษากศ.บ. สอบติดและผมก็เลือกที่จะเรียนที่นี้เพราะผม เชื่อมั่นในการสอนวิชาชีพครูที่มศว มากเพราะอดีตเคยผลิตครูที่มีคุณภาพออกไปคู่สังคมมากมาย จนในวันนั้นถึงวันนี้ ผมก็ได้มายืนเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะพลศึกษา เอกพลศึกษากศ.บ. ในปัจจุบันนั้นเอง...

การศึกษาคือความเจริญงอกงาม

    แม้ในวันนี้จะเป็นเส้นทางเดินที่ผมได้เลือกไว้ตั้งแต่ม.2 แต่ยังไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายที่ผมวางแผนไว้ เป้าหมายสุดท้ายของผมคือการเป็นครูที่กลับไปบ้านพร้อมความรู้ดุลนักปราชญ์ ไปพัฒนาเด็กๆจังหวัดผม ให้มีความรู้ความสามารถมีคุณธรรมจริยธรรมและเป็นคนดีของสังคม..นี้ละตัวตนของฉันนี้

แม้สายรุ้งที่ฉันวาดไว้ยังอยู่แสนไกล..แต่คงไม่ยากเกินไปที่จะคว้ามันมา